THE GENIUS สิบ อันดับสุดยอดอัจฉริยะของโลก

WILLIAM JAMES SIDIS
1.                      ในปี ๑๘๙๙ หรือกว่าหนึ่งศตวรรษก่อน ไซดิส’ (William James Sidis) สามารถอ่านหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ได้ตั้งแต่อายุเพียงหนึ่งขวบครึ่ง และต่อมาสามารถเรียนรู้ภาษาละตินด้วยตนเองเมื่ออายุ ๒ ขวบ พอ ๓ ขวบก็เริ่มฝึกพิมพ์ดีด ด้วยการเขียนจดหมายสั่งของเล่นมาให้ตัวเอง!
                 
                   ถ้าการเป็นนักเขียนอายุน้อยที่สุดในโลกของไซดิสยังไม่ทำให้คุณทึ่งมากพอ ก็ขอให้ดูวีรกรรมเมื่ออายุ ๘ ขวบของเขา ที่คันไม้คันมือจัด เขียนหนังสือเสร็จไปสี่เล่ม รู้จักไปแล้วสิบภาษา โดยหนึ่งในนั้นเป็นภาษาที่เขาสร้างขึ้นมาเอง มีชื่อเรียกว่า
เวนเดอร์กู๊ด’ (Vendergood) ซึ่งดัดแปลงมาจากภาษาละติน
ว่ากันว่าความฉลาดทางภาษามักไม่ค่อยไปด้วยกันกับความฉลาดในการคำนวณ แต่ขอโทษ ตอนไซดิส ๖ ขวบนะครับ ถ้าคุณให้วันที่ เดือน และปีค.ศ.ใดๆ แล้วลองภูมิเด็กชายไซดิสว่านั่นเป็นวันอะไร เขาจะตอบคุณถูกด้วยวิธีคำนวณในใจ ว่ามันคือวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ หรืออาทิตย์!และตอน ๖ ขวบนั่นแหละ ที่ไซดิสเข้าโรงเรียนมัธยมและจบภายในเจ็ดเดือนต่อมา จากนั้นก็สอบผ่านโรงเรียนแพทย์เมื่ออายุ ๗ ขวบ!ทายซิตอนอายุ ๑๐ ขวบไซดิสทำอะไร? เขาศึกษาทฤษฎีของไอน์สไตน์ด้วยความพยายามจะหาข้อผิดพลาดให้เจอครับ!
           ระดับความฉลาดของไซดิสพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆไม่หยุดดุจเดียวกับน้ำพุที่มีแรงส่งมหาศาล ยิ่งวันยิ่งใกลเมฆเข้าไปทุกที ว่ากันว่าพอโตขึ้น ขีดความสามารถในการเรียนรู้ภาษาของเขาก็ถึงระดับที่ไม่มีใครในโลกทำลายสถิติได้ตลอดกาล นั่นคือเขาใช้เวลาเพียงวันเดียวทำความรู้จักกับหนึ่งภาษา!
แน่นอนครับ เมื่อเก่งขนาดนั้นก็แปลว่าต้องรู้ทุกภาษาในโลก ความจริงคือเมื่อถูกทดสอบ ทุกคนต้องยอมรับว่าไซดิสสามารถเป็นล่ามสด แปลภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งได้ในฉับพลันทันที ไม่ว่าจะให้แปลจากภาษาใดเป็นภาษาใด!
                คุณๆส่วนใหญ่อาจไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินชื่อของไซดิสมาก่อน แต่ถ้าพูดถึงหลุมดำหรือ Black Hole แล้ว ส่วนใหญ่คงร้องอ๋อ อันนี้ก็ขอให้ทราบเถิดครับ ว่าหนังสือเกี่ยวกับฟิสิกส์เล่มแรกของไซดิสที่ชื่อ The Animate and the Inanimate นั้น ได้พยากรณ์การมีอยู่ของหลุมดำก่อนที่ใครทั้งโลกจะคิดถึงมันด้วยซ้ำ!
                เด็กอัจฉริยะที่ร่วมสมัยกับพวกเราก็มีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆนะครับ อย่างเช่นไมเคิล เคียร์นีย์ (Michael Kearney) นั้นได้รับการบันทึกจากกินเนสบุ๊กว่าเรียนจบมหาวิทยาลัยเร็วที่สุดในโลก คือได้ปริญญาจากเทนเนสซีเมื่ออายุเพียง ๑๐ ขวบ! ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าก่อนตายเคียร์นีย์จะมีผลงานน่าจดจำมากน้อยเพียงใดนิยามความฉลาดมีอยู่หลากหลาย แต่คุณจะเข้าใจว่าความฉลาดคืออะไร ก็ต่อเมื่อเจอคนฉลาดอย่างไร้กังขา ไม่มีใครเทียบได้ ดังเช่นที่ผมยกตัวอย่างไว้ข้างต้น
                  เพื่อบอกว่าฉลาดมากหรือฉลาดน้อย คุณต้องตั้งเงื่อนไขอะไรขึ้นมาบางอย่างเพื่อทดสอบว่าใครหัวไวกว่าใคร เช่นให้ปัญหายากๆมาข้อหนึ่ง ใครแก้ได้ก่อนถือว่าฉลาด หรือให้ศาสตร์ยากๆมาศาสตร์หนึ่ง ใครแตกฉานก่อนถือว่าเก่ง ยุคของพวกเราคนจะรู้จักค่าความฉลาดจากระดับไอคิว คือยิ่งสูงเหนือร้อยขึ้นมาเท่าไร ก็ยิ่งแปลว่าฉลาดมากขึ้นเท่านั้น ว่ากันว่าโลกนี้มีเพียงหนึ่งเปอร์เซนต์ที่ไอคิวสูงกว่า ๑๓๕ นอกนั้นอยู่ในช่วงประมาณ ๘๕ ถึง ๑๑๕ กันเกือบหมด
                   หลักการวัดไอคิวมักเน้นเรื่องปฏิภาณและการใช้จินตนาการแก้ปัญหาน่างงงวย อย่างไรก็ตาม ยังมีหลักวิธีวัดไอคิวบางชนิด ที่ถือเอาความปราดเปรื่องในการสร้างผลงานมาเป็นเกณฑ์ ด้วยเกณฑ์นี้อาจพอประมาณได้ว่าอัจฉริยะในอดีตมีไอคิวประมาณไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ก่อนอายุ ๑๗ความจริงก็คือคุณไม่สามารถสร้างเครื่องมือวัดความฉลาดใดๆได้แน่นอนตายตัว คีตกวีนามอุโฆษอย่างโมสาร์ท และนักวิทยาศาสตร์บันลือโลกอย่างไอน์สไตน์ ได้คะแนนไอคิวกันคนละแค่ ๑๖๐ ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนประเมินเอาอะไรไปเชื่อ ทราบแต่ว่าหลายคนถือเป็นจริงเป็นจัง พอถามว่าไอน์สไตน์ไอคิวเท่าไร ก็จะตอบว่าประมาณร้อยหกสิบกว่าๆรู้จักชารอน สโตน (Sharon Stone) ไหมครับ? นักแสดงหญิงที่โลกเริ่มรู้จักเธอจริงๆจังๆจากบทสุดโป๊ในเรื่อง Basic Instinct นั่นแหละ ทายซิไอคิวเธอเท่าไหร่คำตอบคือเกือบร้อยหกสิบ ไล่เลี่ยกับโมสาร์ทและไอน์สไตน์ครับ!คุณคงไม่คาดหวังว่าชารอน สโตนจะแต่งเพลงได้อย่างโมสาร์ท หรือคิดทฤษฎีสัมพัทธภาพได้อย่างไอน์สไตน์ แม้ว่าตามหลักเทียบเคียงด้วยไอคิวแล้ว เธอน่าจะ มีสิทธิ์ทำได้
                   ถ้าบอกว่าความฉลาดสูงสุดคือการมีเลขไอคิวเหนือกว่าคนทั้งโลก คุณอาจต้องพบกับความจริงที่น่าสับสนหลายประการ เช่น ในวัยเด็กมาริลีน (Marilyn Vos Savant) ทำสถิติทะลุโลกเป็นทางการไว้กับกินเนสบุ๊ก ว่ามีไอคิวถึง ๒๓๐ ก็น่าสงสัยว่าหากฉลาดที่สุดจริง เหตุใดเธอจึงไม่เป็นสัญลักษณ์แทนความฉลาดเยี่ยงไอน์สไตน์ ทุกวันนี้ลองถามคนทั่วไปดูเถอะว่าใครฉลาดที่สุดในโลก ส่วนใหญ่จะนึกถึงไอน์สไตน์กันแทบทั้งนั้น ไม่มีใครจดจำหรอกว่าไซดิสไอคิว ๒๕๐ และมาริลีน ๒๓๐ที่ไอน์สไตน์ดังและเป็นที่จดจำ แน่นอนว่าจากผลงาน ไม่ใช่เลขไอคิว ความฉลาดของเขาส่งเสียงดังออกมาเป็นกัมปนาทแห่งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ!
                    ความจริงไอน์สไตน์ไม่เคยสร้างระเบิดสักลูก แต่แทบทุกคนก็จดจำเขาในฐานะเจ้าของทฤษฎีอันเป็นต้นตอของระเบิดเขย่าโลก พลังกัมปนาทและอำนาจการทำลายล้างของมัน สามารถกวาดเมืองทั้งเมืองให้หายไปในพริบตาเดียว นั่นเป็นสิ่งน่าครั่นคร้ามสำหรับมวลมนุษย์ คนที่คิดขึ้นมาได้เป็นคนแรกเลยถูกจดจำไว้ว่าฉลาดที่สุดในโลกเป็นธรรมดา ระดับไอคิวจะเท่าไรไม่น่าคำนึง
                   สรุปว่าความฉลาดก็เรื่องหนึ่ง การทิ้งร่องรอยความฉลาดไว้อย่างน่าจดจำก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งโจทย์ในชีวิตของแต่ละคนต่างกัน เป้าหมายที่ล่อใจให้ทะยานไปถึงก็ต่างกัน ไซดิสใช้เวลาในชีวิตให้หมดไปกับการเรียนรู้สารพัดศาสตร์ที่น่าสนใจ เขาสนใจกระทั่งศาสตร์ลึกลับต่างๆตลอดจนการพิสูจน์จิตวิญญาณในมิติอื่น ส่วนไอน์สไตน์อุทิศ ๓๐ ปีสุดท้ายของชีวิตให้กับทฤษฎีสนามรวม (Unified Field Theory) ด้วยเกรงว่าถ้าไม่ใช่เขา ก็จะไม่มีใครค้นหาความจริงในทฤษฎีนี้พบได้ ด้านคนไอคิวสูงสุดอย่างมาริลีน กลับมองว่าการทำให้คนทั่วโลกฉลาดอย่างเธอ คือเรื่องน่าภูมิใจไม่มีอันใดเกิน จึงเลือกที่จะเขียนหนังสือแนะวิธีเพิ่มพลังสมอง หาความเป็นสุดยอดทางปัญญาคนเราควรมีความฉลาดสูงสุดเอาไว้ทำอะไรกันแน่?ฉลาดเพื่อให้รู้ว่ามนุษย์อาจเก่งได้ไม่จำกัด เช่นที่ไซดิสโชว์ออฟเอาไว้ฉลาดเพื่อให้รู้ว่ามนุษย์เปิดโปงความลับอันยิ่งใหญ่ได้ด้วยคณิตศาสตร์ เช่นที่ไอน์สไตน์เพียรพยายามสุดฤทธิ์ (แต่ตายเสียก่อน)หรือฉลาดเพื่อให้รู้ว่ามนุษย์จะไอคิวสูงเข้าขั้นอัจฉริยะได้อย่างไร เช่นที่มาริลีนกำลังเขียนหนังสือแนะแนวอยู่อัจฉริยะประเภทที่ไม่มีข้อจำกัดแห่งวัย และไม่มีข้อจำกัดในการเรียนรู้ มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย ยิ่งผมศึกษาชีวิตของอัจฉริยะในประวัติศาสตร์มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเห็นความจริงว่าชีวิตของอัจฉริยะแต่ละคนถูกออกแบบมา เพื่อสนองวัตถุประสงค์บางอย่าง และบางทีก็ไม่จำเป็นต้องเกิดประโยชน์กับชาวโลกโดยรวม
                 ตามคัมภีร์พุทธ เจ้าชายสิทธัตถะก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็รอบรู้และแตกฉานสารพัดศาสตร์ตั้งแต่ในวัยเยาว์เช่นกัน แม้ฌานอันเป็นสมาธิที่เข้ายากแสนยาก พระองค์ก็สำเร็จได้เองตั้งแต่เพิ่ง ๗ พระชันษา ที่สำคัญพระองค์ตั้งโจทย์ให้กับชีวิต เป็นการเอาคำตอบที่ได้ประโยชน์สูงสุดด้วยพระองค์เองเป็นคนแรก นั่นคือทำอย่างไรจะไม่ต้องเป็นทุกข์อีก
                   โจทย์หินๆที่พบคำตอบได้แสนยากประเภทนี้ ไม่ค่อยมีใครกล้าตั้ง และขนาดมีคนประกาศไว้ว่าแก้โจทย์ได้แล้ว ค้นพบวิธีพ้นทุกข์ สงบสุขชั่วนิรันดร์แล้ว ก็ไม่ค่อยมีใครอยากเชื่อ ไม่ค่อยมีใครอยากทดลองตาม ซึ่งก็น่าคิดเหมือนกันว่าเพราะอะไรความฉลาดสูงสุดไม่ใช่เลขไอคิวสูงสุดแต่เป็นการรู้จักโจทย์สำคัญสูงสุดและได้คำตอบเป็นประโยชน์สูงสุด





2.        KIM UNG-YONG
           




                                                                        KIM UNG-YONG


              เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี IQ สูงที่สุดในโลก Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210
              
                     คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี
               
                      คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 - 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978 และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและได้ศึกษาจนได้รับ ปริญญาเอกอีกเช่นกันนอกจากนี้ยังผลงานที่ตีพิมพ์ประมาณ 90 เรื่อง เกี่ยวข้องกับ ไฮโดรลิค ลงในวารสารวิทยาศาสตร์




                


                 ชาวเกาหลี  มีระดับสติปัญญา (IQ) สูงที่สุดในโลกที่ระดับ 210  เกิดที่กรุงเซอูล วันที่ 8 มีนาคม 2505 สามารถพูดได้ 4 ภาษา ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน อังกฤษ เข้าเรียนมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์เมื่ออายุ 15 ปี  องค์การ NASA เชิญไปดูงาน+ช่วยงาน ที่สหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 10 ปี  ตอนแรกเรียนมาทางฟิสิกส์ แต่หลังจากจบปริญญาเอกและได้ทำงานแล้ว เปลี่ยนใจมาศึกษาต่อทาง วิศวกรรมโยธา (Civil Engineering) จนได้ปริญญาเอกเช่นเดียวกัน   ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย ประเทศเกาหลี


                 ตอนอายุได้ 4 ปี 8 เดือน ได้ออกโทรทัศน์ แสดงความสามารถ แก้โจทย์คณิตศาสตร์ชั้นสูง ที่เรียกว่า สมการดิฟเฟอเรนเชียล (Differential Equation) ที่ซับซ้อน (ปกติมีเรียนในหลักสูตร วิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 3) ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งพ่อและแม่ เป็นศาสตราจารย์สอนในมหาวิทยาลัย


                 คุณครูถามว่า ใครคิดว่าทำโจทย์ข้อนี้ได้บ้าง คิม-ยกมืออยู่คนเดียว เพื่อนๆหันมามองเพราะ อ่านโจทย์แล้วงง  คิมใส่เสื้อแขนยาวสีขาวร้องว่า "หมู" แล้วออกไปเขียนกระดานประมาณ 2 นาทีจบ มี Differentiation และ Integration ใครว่าง่ายช่วยมองดูใหม่ ตัวแปรมี x กับ t ไม่ใช่มีตัวแปรตัวเดียว






                 นักศึกษาที่ได้เกียรตินิยม อันดับหนึ่ง ทางวิศวกรรมศาสตร์ ก็มีลักษณะคล้ายกัน คือ โจทย์พลิกแพลง ซับซ้อนแค่ไหน เพื่อนๆ 500-600 คนทำโจทย์ไม่ได้สักคนเดียว  เขาเห็นแล้วทำได้ ใช้เวลาเพียงสั้นๆ   แต่จุดแตกต่างกับเด็กอัจฉริยะ คือ อายุ   เด็กอัจฉริยะ อายุน้อยมากเรียนวิชาที่ยากๆ ที่สอนกันในมหาวิทยาลัย จะรู้เรื่องดีหมด เพราะ มองทะลุ เขาคิดได้ บางคนจบปริญญาเอก อายุแค่ 10 กว่าขวบ






3. GREGORY SMITH




                                                                               


               ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุ เพียง 12 ปี
             Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิเด็ก
                     Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความเข้าอกเข้าใจใน ระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย
                    จาก การทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ...มีใบขับขี่เป็นของตัวเอง ได้ซะทีนั่นเอง 
องค์กร International Youth Advocates International Youth Advocates กับบทบาทในการบริหารสนับสนุนเยาวชนนานาชาติในเดือน กันยายน 2002เกรกอรี่ สมิธ ประธานกรรมการบริหารสนับสนุนเยาวชนนานาชาติสิบห้าปี เกรกอรี่ สมิธ เป็นผู้ก่อตั้งของสนับสนุนเยาวชนนานาชาติ, Phi Beta Kappa วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาเป็นผู้สมัครระดับปริญญาเอกในวิชาคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียและ 2004 โนเบลสันติภาพเสนอชื่อรางวัล การเดินทางทั่วโลกพูดเกี่ยวกับความต้องการของเด็ก ๆ ในโลกที่เขาได้เข้าเยี่ยมชมเก้าประเทศที่แตกต่างกันสี่ทวีปและเดินทางทั่วสหรัฐฯ สนับสนุนเพื่อความสงบสุขผ่านการศึกษาและการเลี้ยงดูที่เงียบสงบเขาได้จัดให้มีโครงการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสำหรับเด็กกำพร้าติมอร์ตะวันออก, เยาวชนในเซาเปาลู, บราซิลและจะช่วยให้รวันดาสร้างห้องสมุดประชาชนของพวกเขาก่อน เขาจะทำงานร่วมกับกองทุนเด็กคริสเตียนเป็นเอกอัครราชทูตเยาวชนเพื่อสร้างโรงเรียนสันติภาพในเคนยาและภูมิภาคอื่น ๆ ความขัดแย้ง เขาพูดคุยกับกลุ่มเยาวชนอเมริกันเกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาตามที่พวกเขาเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของพวกเขาและวิธีการที่ส่วนร่วมของชุมชนสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย การอุทธรณ์ของเกร็ก ที่จะให้ผู้นำภาครัฐเพื่อให้มีค่าของเด็กเป็นทรัพยากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศของตน เขาอธิบายเกี่ยวกับการสิ้นสุดวงจรของความรุนแรงและได้ให้คำมั่นสัญญาชีวิตของเขาเพื่อแสวงหาความสงบสุข สร้างแรงบันดาลใจกับข้อความที่มีประสิทธิภาพทำสุนทรพจน์จดหมายเขียน, การประชุม, การสำรวจการดำเนินการปรากฏบนจอโทรทัศน์ที่นับไม่ถ้วนและรายการวิทยุเพื่อกระจายข้อความของเขาของความหวังและความตระหนักที่จะนำความต้องการของเด็กที่นี่ในอเมริกาและทั่วโลก เกร็ก ได้พบกับประธานาธิบดีโนเบลสาขา Laureates สันติภาพผู้นำทางศาสนาและการศึกษาเช่นอดีตประธานาธิบดีบิลคลินตันและอดีตประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียต Mikhail Gorbachev และ Nobel Laureates สันติภาพ : ของไอร์แลนด์เบ็ตตี้วิลเลียมส์ของแอฟริกาใต้อาร์คบิชอปเดสมอนด์ตูตู, ติมอร์ตะวันออกของโฮเซรามอส - Horta เพื่ออธิบายการวางแผนการศึกษาและความสงบสุขของเขา เขาเป็นผู้แทน CCF ในการประชุมพิเศษสหประชาชาติเกี่ยวกับสิทธิของเด็ก เขาได้ปรากฏก่อนที่คณะมนตรีความมั่นคงขององค์การสหประชาชาติ, ฟลอริดาและประกอบเวอร์จิเนียและรัฐทั่วไปของฟอรั่มโลกที่จะสร้างเครือข่ายของบุคคลและองค์กรยินดีที่จะสนับสนุนความคิดของเขา
เขาได้ปรากฏกายขึ้นในเวลาหกสิบนาที ในการแสดง Oprahแสดงคู่กับ เดวิดเล็ตเตอร์ ในรายการวันนี้ตอนเช้าอเมริกา
การแสดงตอนเช้า CBS, Voice of America และซีเอ็นเอ็น ระดับชาติและนานาชาติสื่อสิ่งพิมพ์และการออกอากาศได้บอกเล่าเรื่องราวของเกร็กและยังคงช่วยให้เขากระจายข้อความของเขาหวังไปสู่วันพรุ่งนี้ที่สดใสสงบสุขมากขึ้น
4.
                                             AKRIT JASWAL


                                                                                      ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ



                      
            Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า "เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก" เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน
                   Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่า ตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน  

                   อกฤษ  แจสวัล  เด็กน้อยผู้นี้มีสมองอันเป็นเลิศ  พ่อแม่ของเขาเคยทุ่มทุกอย่างที่มีเพื่อหาซื้อหนังสือทางการแพทย์ไห้เขา  หลังจากที่เขาอยากได้และอยากเรียนแพทย์  และปัจจุบันมีผู้คนมากมายคอยหยิบยื่นทุกอย่างไห้เขาเพื่อไห้เขาได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการไห้สำเร็จ
                 ปัจจุบันอกฤษมีเพียงอายุ  13  ปี  ไอคิวสูงถึง  146  และได้รับการยกย่องว่า  เขาเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดสำหรับเด็กในวัยเดียวกันในอินเดีย   ประเทศที่มีประชากรเป็นพันล้านคน  พ่อกับแม่ของอกฤษกล่าวว่า  พวกเขารู้มาตั้งแต่อกฤษยังเล็กว่า  เขาเป็นที่มีความพิเศษเป็นอย่างมากรักชา  แม่ของเขากล่าวว่า   เขาเรียนเร็วมาก หลังจากสอนไห้เขาจำตัวอักษรได้หมด  เราก็เริ่มไห้เขาผสมคำ  แล้วเขาก็เริ่มเรียนเขียนทันที   ซึ่งตอนนั้นเขาอายุเพียง  2  ขวบในวัยเดียวกันนั้น  เด็กโดยทั่วไปเพิ่งเริ่มเรียนอ่านและเขียนพยัญชนะ  แต่สำหรับอกฤษนั้นเขาอ่านนวนิยายของเช็คสเปียร์แล้ว  พร้อมๆกับการสะสมหนังสือเรียนด้านการแพทย์  อกฤษเริ่มเข้าโรงเรียนตอนอายุ  5 ขวบ  แต่  1 ปีให้หลังเขาได้กลายเป็นครูสอนภาษาอังกฤษและคณิตศาตร์ไห้กับนักเรียนที่อายุมากกว่าเขาถึง  10 ปี


           อกฤษมีความสนใจทางด้านวิชาวิทยาศาสตร์และวิชากายวิภาคศาสตร์ตั้งแต่เป็นเด็ก  แพทย์ในโรงพยาบาลของท้องถิ่นในเมืองที่เขาอยู่เริ่มสังเกตุเห็นความสนใจของเขา  และได้อณุญาตไห้เขาได้เข้าสังเกตุการณ์ในห้องผ่าตัดตั้งแต่เขาอายุ  6  ขวบ  สิ่งนั้นเป็นแรงบันดาลใจไห้อกฤษอ่านทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด  และแล้ววันหนึ่งก็มีครอบครัวที่ยากจนครอบครัวหนึ่งได้ขอร้องไห้เขาผ่าตัดนิ้วมือของลูกสาวของเขาที่ถูกไฟใหม้จนนิ้วทุกนิ้วติดกันโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายได้หรือไม่  เขาตัดสินใจรับทำไห้และการผ่าตัดก็ประสบผลสำเร็จซึ่งขณะนั้น  อกฤษอายุเพียง  7 ขวบและอายุน้อยกว่าคนไข้ของเขา  1  ปี  หลังจากนั้นวีดีโอการทำการผ่าตัดก็ถูกถ่ายทอดออกไปเป็นข่าวไปทั่วโลก
                   อกฤษเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยปัญจาบตอนอายุ 11 ขวบ  เขาเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศอินเดีย   แล้วในปีนั้นเองเขาก็ได้รับเชิญไห้ไปแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆที่ Imperial College  ในลอนดอนเพื่อการทดสอบไอคิวและเพื่อการวิจัยอกฤษกล่าวว่าเขามีความคิดมากมายด้านการแพทย์  แต่ตอนนี้เขากำลังมุ่งเน้นในเรื่องการพัฒนาด้านการรักษาโรคมะเร็ง  เขาบอกว่าเขาเคยเห็นคนป่วยโรคมะเร็งเป็นจำนวนมากต้องนอนรอความตายอยู่ข้างถนน  เพราะไม่มีเงินเข้าไปรักษาในโรงพยาบาล  และไม่มีที่ที่จะไห้พวกเขาอยู่  เขาต้องการใช้สติปัญญาที่มีอยู่ได้บรรเทาความเจ็บปวดของผู้ป่วยเหล่านั้น  ฉันรู้สึกเศร้าใจมากเมื่อเห็นพวกเขาทุกข์ทรมาณ  และสิ่งนี้นี่เองที่บันดาลไห้เขาเรียนแพทย์  และเรียนเกี่ยวกับโรคมะเร็งตอนนี้อกฤษกำลังศึกษาด้าน  สัตวศาสตร์  พฤกษศาสตร์  และเคมีไปควบคู่กัน  เขาหวังว่าเขาจะได้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดซักวันหนึ่ง






5.SAUL AARON KRIPKE




                                                                         
                   Harvard เชิญให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ขณะที่ยังเรียนไฮสคูลKripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ
เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha รัฐ Nebraska เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิตและแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง และเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semantics) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้เขาได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชาคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์ ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า“แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสี ยก่อนดีกว่า” และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด Kripke ได้รับรางวัล Shock Prize
ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล
              ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ ซาอูล Kripke เป็นที่เก่าแก่ที่สุดของเด็กทั้งสามคนเกิดมาเพื่อ Dorothy เค Kripke และรับบีเอสคริปเก Myerพ่อของเขาเป็นผู้นำของโบสถ์เบธ เอล, เฉพาะการชุมนุมอนุรักษ์นิยมในโอมาฮา, เนบราสก้าในขณะที่แม่ของเขาเขียนหนังสือของชาวยิวศึกษา สำหรับเด็ก ซาอูลและน้องสาวสองคนของเขา Madeline และเน็ตตาได้เข้าร่วม Dundee เกรดและโรงเรียนโอมาฮากลางสูง Kripke เป็นป้ายอัจฉริยะที่มีสอนเขาภาษาฮิบรูโบราณตามอายุหก, อ่านผลงานที่สมบูรณ์ของเช็คสเปียร์โดยเก้าและเข้าใจผลงานของ Descartes และปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนก่อนที่จะจบการศึกษาระดับประถมศึกษา.  เขาเขียนของเขา ทฤษฎีบทสมบูรณ์ครั้งแรกในตรรกะกิริยาที่อายุ 17 และมีมันตีพิมพ์ในปีต่อมา หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมในปี 1958 คริปเกร่วม Harvard University และจบการศึกษาเกียรตินิยม Summa cum ได้รับปริญญาตรีในวิชาคณิตศาสตร์ ในระหว่างปีนักเรียนปีที่สองของเขาที่ Harvard, Kripke สอนหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาตรรกะระดับที่ MIT ในบริเวณใกล้เคียง เมื่อสำเร็จการศึกษา (1962) เขาได้รับ Fellowship ฟุลไบรท์และในปี 1963 ได้รับการแต่งตั้งจากสมาคมเฟลโลว์

           หลังจากการเรียนการสอนสั้น ๆ ที่ Harvard เขาได้ย้ายไป Rockefeller University ในนิวยอร์กซิตี้ในปี 1967 และจากนั้นได้รับตำแหน่งเต็มเวลาที่ Princeton University ในปี 1977 ในปี 1988 เขาได้รับรางวัล Behrman ของมหาวิทยาลัยสำหรับความสำเร็จที่โดดเด่นในด้านมนุษยศาสตร์ ในปี 2002 Kripke เริ่มสอนที่ CUNY บัณฑิตที่ศูนย์ใน Midtown Manhattan และได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ที่แตกต่างของปรัชญามีขึ้นในปี 2003 เขาแต่งงานกับนักปรัชญามาร์กาเร็ Gilbert

             เขาได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเนบราสก้า, โอมาฮา (1977), Johns Hopkins University (1997), มหาวิทยาลัยไฮฟา, อิสราเอล (1998), และ University of Pennsylvania (2005) เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของปรัชญาสังคมอเมริกันได้รับการเลือกตั้ง Fellow ของสถาบันอเมริกันศิลปะและวิทยาศาสตร์และ Fellow ที่สอดคล้องกันของ British Academy เขาได้รับรางวัลรางวัล Schock ในตรรกะและปรัชญาในปี 2001

6.
                                                            MICHAEL KEVIN KEARNEY
                     รับปริญญาใบแรกเมื่ออายุ 10 ขวบและกลายเป็นเศรษฐีจากการเล่นเรียลลิตี้โชวหนุ่ม วัย 24 ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดใน โลก และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง 17
                ในปี 2008 เขาชนะรางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐจากการเล่นเกมโชว์ที่ชื่อว่า Who Wants to be a Millionaire? นอกจากนี้เขายังทำสถิติโลกไว้อีกหลายอย่างKearney เริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 4 เดือน เมื่ออายุได้ 6 เดือน เขาบอกกับกุมารแพทย์ของเขาว่า "ผมติดเชื้อที่หูซ้ายฮะ" อายุ 10 เดือนก็เริ่มเรียนเขียนอ่าน อายุ 4 ขวบได้เข้าร่วมการทดสอบทางคณิตศาสตร์ของสถาบัน Johns Hopkins และได้คะแนนเต็ม เรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุ 6 ขวบ และเข้าเรียนที่ Santa Rosa Junior College จนจบปริญญาเมื่ออายุ 10 ขวบ
                  ในปี 2006 ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลกเมื่อเขาเล่นเกมออนไลน์ Gold Rush จนชนะและได้รางวัล 1
ล้านเหรียญเป็นคนแรกlifeHe ก่อนถูก homeschooled โดยผู้ปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งของเขาแม่ของญี่ปุ่นอเมริกัน.  เขาถูกวินิจฉัยว่าเ​​ป็นสมาธิสั้นและพ่อแม่ของเขาปฏิเสธที่จะใช้ยาที่นำเสนอจาก Ritalin น้องสาวของพระองค์ Maeghan ยังเป็นเด็กอัจฉริยะ.                 เมื่อไมเคิลคือสี่เขาได้รับการตรวจวินิจฉัยที่มีหลายทางเลือกสำหรับโปรแกรม Johns Hopkins คณิตศาสตร์แก่แดด โดยไม่ต้องมีการศึกษาสำหรับการสอบ, ไมเคิลประสบความสำเร็จคะแนนยอดเยี่ยมเขาเข้าเรียนที่โรงเรียนซาน Marin สูงในโนวาโต, แคลิฟอร์เนีย, หนึ่งปีจบการศึกษาเมื่ออายุหกในปี 1990. เขาเข้าเรียนที่ Santa Rosa Junio​​r College ใน Sonoma County, California, จบการศึกษาที่ 8 อายุที่มีรองวิทยาศาสตร์ใน ธรณีวิทยา.  เขาจะถูกระบุไว้ในหนังสือกินเนสเป็นบัณฑิตของมหาวิทยาลัยในโลกที่อายุน้อยที่สุดเมื่ออายุสิบที่ได้รับการศึกษาระดับปริญญาตรีในมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยเซาท์อลาบามา. ที่อายุ 18 ปีเขาศึกษากีตาร์คลาสสิกกับศิลปินที่มีชื่อเสียงและครู, สกอตต์ Beetleyการวิจัยและ teachingHe จบการศึกษาจาก Middle Tennessee State University กับปริญญาโทในสาขาชีวเคมีที่อายุ 14 วิทยานิพนธ์ 118 หน้าของเขามีสิทธิได้รับ "ผลไอโซโทปจลน์ของ thymidine phosphorylase" งานวิจัยของพระองค์จดจ่ออยู่กับจลนศาสตร์ของไกลโคซิเกี่ยวข้องในการสังเคราะห์กรดนิวคลี สำหรับในขณะที่เขาเป็นน้องคนสุดท้องระดับปริญญาโทของโลกและผู้ถือของหลายระเบียนกินเนสส์โลก แต่ระเบียนการศึกษาระดับปริญญาโทถูกทำลายโดย Tathagat Avatar Tulsi               เขาสอนที่มหาวิทยาลัย Vanderbilt ยังอยู่ในรัฐเทนเนสซีที่ 16 เขาได้รับปริญญาโทที่สองในด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จาก Vanderbilt เมื่อเขาได้ 17ContestantIn ตุลาคม 2006 เขาก็กลายเป็นที่เข้ารอบสุดท้ายบน Mark Burnett / AOL คำถามปริศนา / ทองคำพุ่งเกมชนะ $ 100,000 ในเดือนพฤศจิกายน 2006 ในด้านหน้าของผู้ชมทั่วประเทศเมื่อคืนนี้บันเทิงเขาก็ยังชนะรางวัลใหญ่จากเพิ่มเติม $ 1,000,000 คาร์นีย์ก็ยังเป็นคู่กรณีกับใครอยากเป็นเศรษฐีหรือไม่? ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 25 & 28, 2008 เขาออกกับ $ 25,000คาร์นีย์ก็ยังเป็นคู่กรณีกับ Password ล้านดอลลาร์ซึ่งออกอากาศเมื่อ 14 มิถุนายน 2009 แต่ไม่ผ่านรอบตัดหลังจากการสูญเสียใน tiebreaker






7.
                                                                                FABIANO LUIGI CARUANA


       แกรนมาสเตอร์หมากรุกอายุน้อยที่สุด
                    Fabiano หนุ่มน้อยสองสัญชาติ (อเมริกัน-อิตาลี) ปัจจุบันอายุ 16 ปี เขาได้เป็นแกรนมาสเตอร์ตั้งแต่ปี 2007 ตอนนั้นเขามีอายุเพีย 14 ปี 11 เดือน 20 วัน ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาตร์ของอิตาลีและอเมริกา และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาสมาพันธ์หมากรุกโลก (World Chess Federation (FIDE)) ได้ประกาศว่า Fabiano นั้นมีอันดับโลกอยู่ที่ 2649 ทำให้เขากลายเป็นนักหมากรุกที่มีอันดับสูงสุดสำหรับรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปีชีวิตและ careerFabiano Caruana เกิดเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 1992 ในไมอามี่, ฟลอริด้าของพ่ออิตาเลียนอเมริกันและแม่ของอิตาลี ที่อายุ 4 ปีครอบครัวของเขาย้ายจากไมอามี่, ฟลอริด้าเพื่อลาด Park, Brooklyn บังเอิญนี้คือพื้นที่ใกล้เคียงกันที่บ๊อบบี้ฟิชเชอร์อาศัยอยู่ในช่วงวัยหนุ่มของเขา ที่ 5 อายุพรสวรรค์หมากรุกของเขาถูกค้นพบในโปรแกรมหมากรุกโรงเรียนหลังจากที่ Congregation Beth Elohim ใน Slope Park, Brooklyn, และเขาเล่นทัวร์นาเมนต์แรกของเขาที่ศูนย์หมากรุก Polgar ในควีนส์นิวยอร์ก                   ถึงอายุสิบสองเขาอาศัยอยู่และเล่นในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการเดินทางเป็นครั้งคราวไปยุโรปและอเมริกาใต้ทัวร์นาเมนต์โค้ชหมากรุกครั้งแรกของเขาตั้งแต่อายุหกขวบถึงแปดเป็นแม่บทแห่งชาติบรูซ Pandolfini และจากอายุแปดถึงสิบสองเขาศึกษากับมาสเตอร์ Miron เชอร์ ในปี 2004 ตอนอายุสิบสองเขาย้ายไปอยู่กับครอบครัวของเขาจาก Slope Park, Brooklyn ไปมาดริดเพื่อใช้ประกอบอาชีพหมากรุกมืออาชีพ เขาผ่านการฝึกอบรมกับบอริสโทนานาชาติ Zlotnik ในมาดริดและในปี 2007 เขาได้ย้ายไปบูดาเปสต์ในการฝึกอบรมกับอเล็กซานเด Grandmaster Chernin                ที่สิบสี่อายุ Caruana กลายเป็นมาสเตอร์เคยสุดท้องของทั้งสหรัฐอเมริกาและอิตาลี (เหนือกว่าสถิติในสหรัฐอเมริกาที่กำหนดโดย Grandmaster นาคามูระฮิ) ปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ในลูกาโนสวิสเซอร์แลนด์และเล่นให้อิตาลี1998Participated ที่ค่ายฤดูร้อนของหมากรุก Bryant Park ในนิวยอร์กและเขาได้เรียนรู้จากมิเกลIñiguez, checkmates ธาตุมากที่สุด 1999Participated ในนิวยอร์ก Scholastic แชมป์ที่เขาเสร็จในวันที่เก้า2007Grandmaster ชื่อเรื่อง - Caruana ได้รับบรรทัดฐานของจีเอ็มสุดท้ายของเขาได้ชื่อเรื่องมาสเตอร์ในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากวัยหนุ่มสาวของเขาและมีการแบ่งล่วงหน้าก่อนการบันทึกว่า "ปัจจุบัน" ของฮิคารุนาคามูระเป็นน้องคนสุดท้องที่เคยอเมริกันที่จะเป็นมาสเตอร์เขาได้รับความสนใจมากจากโลกหมากรุกสากลการแข่งขันหมากรุก Vlissingen - ในเดือนสิงหาคมที่เขาเล่นที่แข็งแกร่งแข่งขันหมากรุก Vlissingen ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ฝ่ายตรงข้ามรอบสุดท้ายของเขาคืออดีตแชมป์โลกสุจริต Rustam Kasimdzhanov Caruana เล่นสีดำดึงเกมใน 82 เคลื่อนไหวและได้รับรางวัลการแข่งขันด้วยประสิทธิภาพการทำงานของ 2715อิตาลีแชมป์ - ณ สิ้นปีเขาเข้าร่วมในอิตาลีแชมป์ ปีก่อนเขาเป็นแชมป์ร่วมของอิตาลีโดยคาดกับ Michele Godena แต่การสูญเสียที่ห้าเกมเล่นปิดอย่างรวดเร็ว ปีนี้เขาได้รับรางวัลด้วยคะแนน 8 (9.5/11) ที่จะกลายเป็นน้องคนสุดท้องแชมป์อิตาลีที่เคย. 2008Corus C - นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกของเขาที่ Corus และมากตลอดทัวร์นาเมนต์ที่เขาเป็นผู้นำที่ชัดเจน ฝ่ายตรงข้ามรอบสุดท้ายของเขาคือ Parimarjan Negi และ Caruana จำเป็น½ชี้ไปที่ชนะการแข่งขัน Caruana ชนะเกมใน 61 เคลื่อนไหวและการแข่งขันด้วยคะแนนสุดท้ายของ 7 (10/13) และประสิทธิภาพของ 2696. Ruy Lopez เทศกาล - ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายน Ruy Lopez เทศกาลรวมการแข่งขันปิดรอบเจ็ดและสองวันทัวร์นาเมนต์ที่เปิดอย่างรวดเร็ว ในรอบเจ็ดปิดการแข่งขัน Caruana มีผลที่น่าผิดหวังของ -2 (2,5 / 7) ที่มีประสิทธิภาพการทำงานของ 2513 สองวันทัวร์นาเมนต์ที่เปิดอย่างรวดเร็วที่ตามก็ชนะด้วยคะแนน Caruana จาก 6 (7.5 / 9) ตามด้วยไมเคิลอดัมส์, จูลิโอ Granda Zuniga และ Dzhurabek Khamrakulov ทั้งหมดที่มีคะแนนจาก 5 (7/9)Mitropa คัพ - ในเดือนมิถุนายนเขาเล่นบอร์ดแรกสำหรับอิตาลีที่ Mitropa ถ้วยซึ่งเป็นทีมแข่งขันสี่กระดานหมู่ที่ 10 "กลาง" ชาติยุโรป เขายิง 6 (7.5 / 9) ช​​นะรางวัลคณะกรรมการครั้งแรกกับประสิทธิภาพการทำงานของ 2810. NH "ดาวที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับประสบการณ์" - ทัวร์นาเมนต์นี้เป็นของรูปแบบ Scheveningen ซึ่งเป็นคู่ที่สองทีมในรอบห้า "ดาว Rising" กับห้าผู้เล่น "ที่มีประสบการณ์" Caruana เล่นกับ Evgeny Bareev, Viktor Kortchnoi, Artur Jussupow, Simen Agdestein และ Ljubomir Ljubojevic เขายิง 3 (6.5/10) ด้วยประสิทธิภาพการทำงานของ 2706. Cap d'Agde - เหตุการณ์ถูกเคาะออกทัวร์นาเมนต์อย่างรวดเร็วปิดจัดเป็นสองกลุ่มปัด robin ของแปดผู้เล่นแต่ละคนพร้อมกับชั้นสี่เรอร์สของแต่ละกลุ่มดำเนินการในไตรมาส-finals, รอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศแล้ว . การควบคุมเวลาได้ 25 นาทีมีเพิ่มขึ้น 10-สอง ในกลุ่มของเขาที่วางอยู่ Caruana แรกด้วยคะแนน +4 (5,5 / 7) ชนะกับ Maxime Vachier-Lagrave, Xiangzhi Bu, Alexandra Kosteniuk, Marie Sebag และวาดภาพต่อต้าน Vassily Ivanchuk, Ivan Cheparinov และ Kateryna Lahno ประสิทธิภาพ Caruana คือ 2866 และเขาได้มีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในไตรมาส- การจับคู่ไตรมาสสุดท้ายของเขาซึ่งเป็นกับ Anatoly คาร์ปอฟ, กำลังต่อสู้กันอย่างใกล้ชิด คาร์ปอฟชนะเกมแรกและได้รับรางวัลที่สอง Caruana จากนั้นเกมผูก-ทำลายด้วยการควบคุมเวลา 15 นาทีมีการเล่น สี่เกมแรกถูกวาดทั้งหมด ที่ห้าเกมคาร์ปอฟชนะและ Caruana ถูกเคาะออกมา38 แต้ม - นี่คือ Caruana แรกของโอลิมปิก บนกระดานแรกที่เขาเล่นกับเฮล์มส Aronian ในรอบแรก, วิคเตอร์ Korchnoi ในรอบสี่, ไมเคิลอดัมส์ในรอบที่ห้า, Emanuel Berg ในรอบเจ็ดและปีเตอร์ Leko ในรอบแปด เขาหายไป Aronian และ Leko และได้รับรางวัลกับอดัมส์, Korchnoi และ Berg คะแนนสุดท้ายของเขาคือ 7.5/11 กับประสิทธิภาพของ 2696. อิตาลีแชมป์ - Caruana ประสบความสำเร็จในการปกป้องชื่อของเขาชนะชื่อติดต่อกันเป็นปีที่สองด้วยคะแนน 5 (8/11) [แก้ไข] 2009Corus B - ต้องได้รับรางวัล Corus C 2008, Caruana ได้รับและได้รับการยอมรับคำเชิญเพื่อ Corus B 2009 ซึ่งเป็นของประเภทที่ 16 โดยมีค่าเฉลี่ยของอีโล 2641 ตลอดทัวร์นาเมนต์ standings เขาตั้งแต่แรกที่สถานที่ที่สาม จะเข้าสู่รอบสุดท้ายที่เขาถูกผูกติดอยู่กับที่สองและฝ่ายตรงข้ามของเขาคือไนเจลสั้นที่อยู่ในความชัดเจนก่อน เกมกินเวลา 67 เคลื่อนไหว Caruana ชนะเกมและการแข่งขันที่มีคะแนนจาก 4 (8.5/13) และประสิทธิภาพการทำงานของ 2751 Caruana เป็นผู้เล่นคนแรกที่เคยชนะทั้ง Corus C และ B Corus ในปีติดต่อกันวางที่ชัดเจนเป็นครั้งแรกในทั้งสอง. ในเดือนเมษายน Caruana เล่นในทีมแชมป์รัสเซียที่โซซีที่มี "64 คลับ" ของมอสโก, คะแนน 5 คะแนนออกมาจาก 6; ทีมงานของเขาวางอยู่ที่สองหลังจากที่ Tomskในเดือนพฤษภาคมที่เขาเล่นกับทีมอิตาลีใน "Mitropa คัพ" ที่ Rogaska Slatina ในสโลวีเนียให้คะแนน 6 คะแนนจาก 8 และชนะเหรียญทองของแต่ละบุคคลในคณะกรรมการก่อนในเดือนพฤศจิกายน Caruana เล่นในหมากรุกโลก Cup 2009 ที่ Khanty-Mansiysk ในรัสเซีย ในสองรอบแรกเขาชนะคิวบาแกรนด์มาสเตอร์LázaroBruzónและ Leinier Dominguez (Elo 2719) ในไตรมาสที่สามของรัสเซีย Evgeny Alekseev (Elo 2715); ในรอบสี่เขาหายไปเฉพาะในเกมอย่างรวดเร็วเพื่อ Vugar Gashimov (Elo 2759 และที่เจ็ดในโลก) งานนี้อนุญาตให้เขาไปถึง 2675 คะแนน Elo 2010December - เขาได้รับรางวัลอิตาลีแชมป์เป็นครั้งที่สามด้วยคะแนน 9 คะแนนจาก 11 เกมเริ่มต้นที่ 28 ธันวาคม 2010 to 6 มกราคม 2011 Caruana เล่นใน 53 Reggio Emilia การแข่งขัน เขาวาง 6 จาก 10 และผูก 7 จาก 9 เกมของเขา (เพียงชนะอีกครั้งกับไนเจลสั้น) 2011January - ที่โทยิบรอลตาเขาเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 5 สถานที่ที่อยู่เบื้องหลัง Ivanchuk, สั้น, Külaotsและ Roizกรกฏาคม - เขาได้รับรางวัลที่มี 7 แต้มจาก 10 ที่ AAI ทัวร์นาเมนต์ใน New Dehli (17 ประเภท)ธันวาคม - เขาได้รับรางวัลการแข่งขันชิงแชมป์แห่งชาติอิตาเลียนเป็นครั้งที่สี่ด้วยคะแนน 10 คะแนนจาก 11 เกม เขาได้รับรางวัลก่อนหน้านี้ปี 2007 และ 2008 แห่งชาติประชันและไม่ได้เล่น 2009 แชมป์แห่งชาติเนื่องจากความขัดแย้งปฏิทินที่มีการแข่งขันฟุตบอลโลกสุจริต 2012January - ที่ 74 ทาทาแข่งขันหมากรุกเหล็กใน Wijk aan Zee (ที่รู้จักกันก่อนหน้านี้เป็นหมากรุก Corus) เขาเสร็จเมื่อวันที่ 2 สถานที่ร่วมกับแมกนัส Carlsen และ Teimour Ra​​djabov หลังชนะเฮล์มส Aronian กุมภาพันธ์ - วันที่ Aeroflot เปิดในมอสโกเขาเสร็จ 6 กับ 6/9 และหยิบขึ้นมา 4 จุดอีโล
8.
                                                                                    WILLIE MOSCONI


    เริ่มชีวิตนักบิลเลียดอาชีพเมื่ออายุเพียง 6 ขวบ
                     William Joseph Mosconi หรือเจ้าของฉายา "Mr. Pocket Billiards" (pocket billiard = พูล) หนูน้อยจาก Philadelphia, Pennsylvania มีบิดาเป็นเจ้าของโต๊ะพูลแต่กลับไม่ยอมให้เขาเล่นพูล แต่ Willie ก็ไม่ยอมแพ้โดยเลี่ยงไปฝึกฝนด้วยหัวมันฝรั่งกับด้ามไม้กวาดเก่า ๆ ในครัวของแม่ ไม่นานนักพ่อของเขาก็ได้เห็นความเป็นอัจริยะ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันท้าประลองเกิดขึ้น และ Willie ก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุและประสบการณ์เหนือกว่าตนเองมากมายได้ ทั้ง ๆ ที่เขายังต้องยืนบนกล่องต่อขาเพื่อให้สูงถึงโต๊ะจนเล่นได้ก็ตาม
                     ใน ปี 1919 ได้มีการจัดการแข่งขันระหว่างหนูน้อย Willie วัย 6 ขวบและแชมป์โลกอย่าง Ralph Greenleaf แม้ Greenleaf จะเป็นผู้ชนะแต่ Willie ก็เล่นได้ดีมากและทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบิลเลียดอาชีพตั้งแต่บัดนั้น และในปี 1924 Willie ก็ได้เป็นแชมป์ straight pool (พูล 15 ลูก) เยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี และมีงานเดินสายโชว์เทคนิคการเล่นอย่างสม่ำเสมอ
                      ในช่วงปี 1941-1957 Willie ก็ได้ครองแชมป์ BCA (Billiard Congress of America) World Championship ถึง15 สมัย เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคใหม่ ๆ ในการตีบิลเลียด สร้างสถิติมากมาย และยังช่วยทำให้กีฬาบิลเลียดกลายเป็นที่นิยมอีกด้วย ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการตีลูกได้ติดต่อกัน ถึง 526 ลูกในการแข่งขัน Straight Pool 
9.
                                 ALBERT EINSTEIN
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (เยอรมัน: Albert Einstein) (14 มีนาคม พ.ศ. 2422 - 18 เมษายน พ.ศ. 2498) เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎี ชาวเยอรมันเชื้อสายยิวที่มีสัญชาติสวิสและอเมริกัน (ตามลำดับ) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาเป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ และมีส่วนร่วมในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม สถิติกลศาสตร์ และจักรวาลวิทยา เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี พ.ศ. 2464 จากการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก และจาก "การทำประโยชน์แก่ฟิสิกส์ทฤษฎี"
หลังจากที่ไอน์สไตน์ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ในปี พ.ศ. 2458 เขาก็กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยธรรมดานักสำหรับนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ในปีต่อ ๆ มา ชื่อเสียงของเขาได้ขยายออกไปมากกว่านักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์ ได้กลายมาเป็นแบบอย่างของความฉลาดหรืออัจฉริยะ ความนิยมในตัวของเขาทำให้มีการใช้ชื่อไอน์สไตน์ในการโฆษณา หรือแม้แต่การจดทะเบียนชื่อ "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" ให้เป็นไอน์สไตน์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2498 ด้วยโรคหัวใจผลงานของไอน์สไตน์ในสาขาฟิสิกส์มีมากมาย ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่ง:
ริเริ่มโครงการทฤษฎีแรงเอกภาพ
ไอน์สไตน์เกิดในเมืองอูล์ม ในเวอร์เทมบูร์ก ประเทศเยอรมนี ห่างจากเมืองชตุทท์การ์ทไปทางตะวันออกประมาณ 100 กิโลเมตร บิดาของเขาชื่อว่า แฮร์มานน์ ไอน์สไตน์ เป็นพนักงานขายทั่วไปซึ่งกำลังทำการทดลองเกี่ยวกับเคมีไฟฟ้า มารดาชื่อว่า พอลลีน โดยมีคนรับใช้หนึ่งคนชื่อ คอช ทั้งคู่แต่งงานกันในโบสถ์ในสตุ๊ทการ์ท (เยอรมัน: Stuttgart-Bad Cannstatt) ครอบครัวของเขาเป็นชาวยิว (แต่ไม่เคร่งครัดนัก) อัลเบิร์ตเข้าเรียนในโรงเรียนประถมคาธอลิก และเข้าเรียนไวโอลิน ตามความต้องการของแม่ของเขาที่ยืนยันให้เขาได้เรียน
เมื่อเขาอายุได้ห้าขวบ พ่อของเขานำเข็มทิศพกพามาให้เล่น และทำให้ไอน์สไตน์รู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างในพื้นที่ที่ว่างเปล่า ซึ่งส่งแรงผลักเข็มทิศให้เปลี่ยนทิศไป เขาได้อธิบายในภายหลังว่าประสบการณ์เหล่านี้คือหนึ่งในส่วนที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่เขาในชีวิต แม้ว่าเขาชอบที่จะสร้างแบบจำลองและอุปกรณ์กลได้ในเวลาว่าง เขาถือเป็นผู้ที่เรียนรู้ได้ช้า สาเหตุอาจเกิดจากการที่เขามีความพิการทางการอ่านหรือเขียน (dyslexia) ความเขินอายซึ่งพบได้ทั่วไป หรือการที่เขามีโครงสร้างสมองที่ไม่ปกติและหาได้ยากมาก (จากการชันสูตรสมองของเขาหลังจากที่ไอน์สไตน์เสียชีวิต) เขายกความดีความชอบในการพัฒนาทฤษฎีของเขาว่าเป็นผลมาจากความเชื่องช้าของเขาเอง โดยกล่าวว่าเขามีเวลาครุ่นคิดถึงอวกาศและเวลามากกว่าเด็กคนอื่น ๆ เขาจึงสามารถสามารถพัฒนาทฤษฎีเหล่านี้ได้ โดยการที่เขาสามารถรับความรู้เชิงปัญญาได้มากกว่าและนานกว่าคนอื่น ๆ
ไอน์สไตน์เริ่มเรียนคณิตศาสตร์เมื่อประมาณอายุ 12 ปี โดยที่ลุงของเขาทั้งสองคนเป็นผู้อุปถัมถ์ความสนใจเชิงปัญญาของเขาในช่วงย่างเข้าวัยรุ่นและวัยรุ่น โดยการแนะนำและให้ยืมหนังสือซึ่งเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
ใน พ.ศ. 2437 เนื่องมาจากความล้มเหลวในธุรกิจเคมีไฟฟ้าของพ่อของเขา ทำให้ครอบครัวไอน์สไตน์ย้ายจากเมืองมิวนิค ไปยังเมืองพาเวีย (ใกล้กับเมืองมิลาน) ประเทศอิตาลี ในปีเดียวกัน เขาได้เขียนผลงานทางวิทยาศาสตร์ชิ้นหนึ่งขึ้นมา (คือ "การศึกษาสถานะของอีเธอร์ในสนามแม่เหล็ก") โดยที่ไอน์สไตน์ยังอาศัยอยู่ในบ้านพักในมิวนิคอยู่จนเรียนจบจากโรงเรียน โดยเรียนเสร็จไปแค่ภาคเรียนเดียวก่อนจะลาออกจากโรงเรียนมัธยมศึกษา กลางฤดูใบไม้ผลิ ในปี พ.ศ. 2438 แล้วจึงตามครอบครัวของเขาไปอาศัยอยู่ในเมืองพาเวีย เขาลาออกโดยไม่บอกพ่อแม่ของเขา และโดยไม่ผ่านการเรียนหนึ่งปีครึ่งรวมถึงการสอบไล่ ไอน์สไตน์เกลี้ยกล่อมโรงเรียนให้ปล่อยตัวเขาออกมา โดยกล่าวว่าจะไปศึกษาเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดตามคำเชิญจากเพื่อนผู้เป็นแพทย์ของเขาเอง โรงเรียนยินยอมให้เขาลาออก แต่นี่หมายถึงเขาจะไม่ได้รับใบรับรองการศึกษาชั้นเรียนมัธยม
แม้ว่าเขาจะมีความสามารถชั้นเลิศในสาขาวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ แต่การที่เขาไร้ความรู้ใด ๆ ทางด้านศิลปศาสตร์ ทำให้เขาไม่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าสถาบันเทคโนโลยีแห่งสมาพันธรัฐสวิสในเมืองซูริค (เยอรมัน: Eidgenössische Technische Hochschule หรือ ETH) ทำให้ครอบครัวเขาต้องส่งเขากลับไปเรียนมัธยมศึกษาให้จบที่อารอในสวิตเซอร์แลนด์ เขาสำเร็จการศึกษาและได้รับใบอนุปริญญาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2439 และสอบเข้า ETH ได้ในเดือนตุลาคม แล้วจึงย้ายมาอาศัยอยู่ในเมืองซูริค ในปีเดียวกัน เขากลับมาที่บ้านเกิดของเขาเพื่อเพิกถอนภาวะการเป็นพลเมืองของเขาในเวอร์เทมบูรก์ ทำให้เขากลายเป็นผู้ไร้สัญชาติ
ใน พ.ศ. 2443 เขาได้รับประกาศนียบัตรสำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสมาพันธรัฐสวิส และได้รับสิทธิ์พลเมืองสวิสในปี พ.ศ. 2444
งานในสำนักงานสิทธิบัตร
หลังจากจบการศึกษา ไอน์สไตน์ไม่สามารถหางานสอนหนังสือได้ หลังจากเพียรพยายามอยู่เกือบสองปี พ่อของอดีตเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งก็ช่วยให้เขาได้งานทำที่สำนักงานสิทธิบัตรในกรุงเบิร์น ในตำแหน่งผู้ช่วยตรวจสอบเอกสาร หน้าที่ของเขาคือการตรวจประเมินใบสมัครของสิทธิบัตรในหมวดหมู่อุปกรณ์แม่เหล็กไฟฟ้า ในปี พ.ศ. 2446 ไอน์สไตน์ก็ได้บรรจุเข้าเป็นพนักงานประจำ หลังจากถูกมองข้ามมานานจนกระทั่งกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจักรกล
ไอน์สไตน์กับเพื่อนหลายคนที่รู้จักกันในเบิร์น ได้รวมกลุ่มกันเป็นชมรมเล็กๆ สำหรับคุยกันเรื่องวิทยาศาสตร์และปรัชญา ตั้งชื่อกลุ่มอย่างล้อเลียนว่า "The Olympia Academy" พวกเขาอ่านหนังสือร่วมกันเช่น งานของปวงกาเร แม็ค และฮูม ซึ่งส่งอิทธิพลต่อแนวคิดด้านวิทยาศาสตร์และปรัชญาของไอน์สไตน์มาก
ตลอดช่วงเวลาเหล่านี้ ไอน์สไตน์แทบจะไม่ได้เข้าไปข้องเกี่ยวใดๆ กับชุมชนทางฟิสิกส์เลย งานที่สำนักงานสิทธิบัตรของเขาโดยมากจะเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการส่งสัญญาณไฟฟ้าและการซิงโครไนซ์ทางเวลาระหว่างระบบไฟฟ้ากับระบบทางกล ซึ่งเป็นสองปัญหาหลักทางเทคนิคอันเป็นจุดสนใจของการทดลองในความคิดยุคนั้น ซึ่งในเวลาต่อมาได้ชักนำให้ไอน์สไตน์ไปสู่ผลสรุปอันลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของแสงและความเกี่ยวพันพื้นฐานระหว่างอวกาศกับเวลางานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
การคิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ
ปี พ.ศ. 2448 ขณะที่ไอน์สไตน์ทำงานอยู่ที่สำนักงานสิทธิบัตร ก็ได้ตีพิมพ์บทความ 4 เรื่องใน Annalen der Physik ซึ่งเป็นวารสารทางฟิสิกส์ชั้นนำของเยอรมัน บทความทั้งสี่นี้ในเวลาต่อมาเรียกชื่อรวมกันว่า "Annus Mirabilis Papers"
  • บทความเกี่ยวกับธรรมชาติเฉพาะตัวของแสง นำไปสู่แนวคิดที่ส่งผลต่อการทดลองที่มีชื่อเสียง คือปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก หลักการง่ายๆ ก็คือ แสงมีปฏิกิริยากับสสารในรูปแบบของ "ก้อน" พลังงาน (ควอนตา) เป็นห้วงๆ แนวคิดนี้เคยนำเสนอมาก่อนหน้านี้แล้วโดย แมกซ์ พลังค์ ในปี พ.ศ. 2443 ซึ่งเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับทฤษฎีเกี่ยวกับคลื่นแสงที่เชื่อกันอยู่ในยุคสมัยนั้น
  • บทความเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของบราวน์ อธิบายถึงการเคลื่อนไหวแบบสุ่มของวัตถุขนาดเล็กมากๆ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของโมเลกุล แนวคิดนี้สนับสนุนต่อทฤษฎีอะตอม
  • บทความเกี่ยวกับอิเล็กโตรไดนามิกส์ของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ เป็นกำเนิดของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ แสดงให้เห็นว่าความเร็วของแสงที่กำลังสังเกตอย่างอิสระ ณ สภาวะการเคลื่อนที่ของผู้สังเกตจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงโดยพื้นฐานไปเหมือนๆ กัน ผลสืบเนื่องจากแนวคิดนี้รวมถึงกรอบของกาล-อวกาศของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่จะช้าลงและหดสั้นลง (ตามทิศทางของการเคลื่อนที่) โดยสัมพัทธ์กับกรอบของผู้สังเกต บทความนี้ยังโต้แย้งแนวคิดเกี่ยวกับ luminiferous aether ซึ่งเป็นเสาหลักทางฟิสิกส์ทฤษฎีในยุคนั้น ว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น
  • บทความว่าด้วยสมดุลของมวล-พลังงาน (ซึ่งก่อนหน้านี้เชื่อว่ามันไม่เกี่ยวข้องกันเลย) ไอน์สไตน์ปรับปรุงสมการสัมพัทธภาพพิเศษของเขาจนกลายมาเป็นสมการอันโด่งดังที่สุดแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 คือ E = mc2 ซึ่งบอกว่า มวลขนาดเล็กจิ๋วสามารถแปลงไปเป็นพลังงานปริมาณมหาศาลได้ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดการพัฒนาของพลังงานนิวเคลียร์
  • แสง กับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป
ปี พ.ศ. 2449 สำนักงานสิทธิบัตรเลื่อนขั้นให้ไอน์สไตน์เป็น Technical Examiner Second Class แต่เขาก็ยังไม่ทิ้งงานด้านวิชาการ ปี พ.ศ. 2451 เขาได้เข้าเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเบิร์น พ.ศ. 2453 เขาเขียนบทความอธิบายถึงผลสะสมของแสงที่กระจายตัวโดยโมเลกุลเดี่ยวๆ ในบรรยากาศ ซึ่งเป็นการอธิบายว่า เหตุใดท้องฟ้าจึงเป็นสีน้ำเงิน
ระหว่าง พ.ศ. 2452 ไอน์สไตน์ตีพิมพ์บทความ "Über die Entwicklung unserer Anschauungen über das Wesen und die Konstitution der Strahlung" (พัฒนาการของมุมมองเกี่ยวกับองค์ประกอบและหัวใจสำคัญของการแผ่รังสี) ว่าด้วยการพิจารณาแสงในเชิงปริมาณ ในบทความนี้ รวมถึงอีกบทความหนึ่งก่อนหน้านั้นในปีเดียวกัน ไอน์สไตน์ได้แสดงว่า พลังงานควอนตัมของมักซ์ พลังค์ จะต้องมีโมเมนตัมที่แน่นอนและแสดงตัวในลักษณะที่คล้ายคลึงกับอนุภาคที่เป็นจุด บทความนี้ได้พูดถึงแนวคิดเริ่มต้นเกี่ยวกับโฟตอน (แม้ในเวลานั้นจะยังไม่ได้เรียกด้วยคำนี้ ผู้ตั้งชื่อ 'โฟตอน' คือ กิลเบิร์ต เอ็น. ลิวอิส ในปี พ.ศ. 2469) และให้แรงบันดาลใจเกี่ยวกับความเกี่ยวพันกันระหว่างคลื่นกับอนุภาค ในวิชากลศาสตร์ควอนตัม
พ.ศ. 2454 ไอน์สไตน์ได้เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยซูริค แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ยอมรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยชาร์ลส์-เฟอร์ดินานด์ ของเยอรมันที่ตั้งอยู่ในกรุงปราก ที่นี่ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับผลกระทบของแรงโน้มถ่วงที่มีต่อแสง ซึ่งก็คือการเคลื่อนไปทางแดงเนื่องจากแรงโน้มถ่วง และการหักเหของแสงเนื่องจากแรงโน้มถ่วง บทความนี้ช่วยแนะแนวทางแก่นักดาราศาสตร์ในการตรวจสอบการหักเหของแสงระหว่างการเกิดสุริยคราส นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน เออร์วิน ฟินเลย์-ฟรอนด์ลิค ได้เผยแพร่ข้อท้าทายของไอน์สไตน์นี้ไปยังนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
พ.ศ. 2455 ไอน์สไตน์กลับมายังสวิตเซอร์แลนด์และรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเดิมที่เขาเป็นศิษย์เก่า คือ ETH เขาได้พบกับนักคณิตศาสตร์ มาร์เซล กรอสมานน์ ซึ่งช่วยให้เขารู้จักกับเรขาคณิตของรีมานน์และเรขาคณิตเชิงอนุพันธ์ และโดยการแนะนำของทุลลิโอ เลวี-ซิวิตา นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี ไอน์สไตน์จึงได้เริ่มใช้ประโยชน์จากความแปรปรวนร่วมเข้ามาประยุกต์ในทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของเขา มีช่วงหนึ่งที่ไอน์สไตน์รู้สึกว่าแนวทางนี้ไม่น่าจะใช้ได้ แต่เขาก็หันกลับมาใช้อีก และในปลายปี พ.ศ. 2458 ไอน์สไตน์จึงได้เผยแพร่ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปซึ่งยังคงใช้อยู่ตราบถึงปัจจุบัน ทฤษฎีนี้อธิบายถึงแรงโน้มถ่วงว่าเป็นการบิดเบี้ยวของโครงสร้างกาลอวกาศโดยวัตถุที่ส่งผลเป็นแรงเฉื่อยต่อวัตถุอื่น
ทฤษฎีแรงเอกภาพ
งานวิจัยของไอน์สไตน์หลังจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปมีหัวใจหลักอยู่ที่การพยายามทำให้ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงสามารถอธิบายคุณสมบัติของแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ปี พ.ศ. 2493 เขาได้พูดถึงแนวคิดเรื่อง "ทฤษฎีแรงเอกภาพ" ในวารสาร Scientific American ในบทความชื่อว่า "On the Generalized Theory of Gravitation" แม้เขาจะได้รับความยกย่องอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนในการวิจัยเรื่องนี้ และความทุ่มเทส่วนใหญ่ของเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ในความพยายามของไอน์สไตน์ที่จะรวมแรงพื้นฐานทั้งหมดเข้าในกฎเดียวกัน เขาได้ละเลยการพัฒนากระแสหลักในทางฟิสิกส์ไปบางส่วน ที่สำคัญคือแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มและแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน ซึ่งไม่มีใครเข้าใจมากนักตราบจนอีกหลายปีผ่านไปหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว ขณะเดียวกัน แนวทางพัฒนาฟิสิกส์กระแสหลักเองก็ละเลยแนวคิดของไอน์สไตน์เกี่ยวกับการรวมแรงเช่นเดียวกัน ครั้นต่อมาความฝันของไอน์สไตน์ในการรวมกฎฟิสิกส์ทั้งหลายเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงจึงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อแนวทางศึกษาฟิสิกส์ยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อทฤษฎีแห่งสรรพสิ่งและทฤษฎีสตริง ขณะที่มีความตื่นตัวมากขึ้นในสาขากลศาสตร์ควอนตัมด้วย
แบบจำลองแก๊สของชเรอดิงเงอร์
ไอน์สไตน์แนะนำให้แอร์วิน ชเรอดิงเงอร์นำเอาแนวคิดของมักซ์ พลังค์ไปใช้ ที่มองระดับพลังงานของแก๊สในภาพรวมมากกว่าจะมองเป็นโมเลกุลเดี่ยวๆ ชเรอดิงเงอร์ประยุกต์แนวคิดนี้ในบทความวิจัยโดยใช้การกระจายตัวของโบลทซ์มันน์เพื่อหาคุณสมบัติทางอุณหพลศาสตร์ของแก๊สอุดมคติกึ่งคลาสสิก ชเรอดิงเงอร์ขออนุญาตใส่ชื่อไอน์สไตน์เป็นผู้เขียนบทความร่วม แต่ต่อมาไอน์สไตน์ปฏิเสธคำเชิญนั้น
ตู้เย็นไอน์สไตน์
พ.ศ. 2469 ไอน์สไตน์กับลูกศิษย์เก่าคนหนึ่งคือ ลีโอ ซีลาร์ด นักฟิสิกส์ชาวฮังการีผู้ต่อมาได้ร่วมในโครงการแมนฮัตตัน และได้รับยกย่องในฐานะผู้ค้นพบห่วงโซ่ปฏิกิริยา ทั้งสองได้ร่วมกันประดิษฐ์ ตู้เย็นไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวเลย และใช้พลังงานนำเข้าเพียงอย่างเดียวคือพลังงานความร้อน สิ่งประดิษฐ์นี้ได้จดสิทธิบัตรในปี พ.ศ. 2473
 บอร์กับไอน์สไตน์
ราวคริสต์ทศวรรษ 1920 มีการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัมให้เป็นทฤษฎีที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไอน์สไตน์ไม่ค่อยเห็นด้วยนักกับการตีความโคเปนเฮเกนว่าด้วยทฤษฎีควอนตัม ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย นีลส์ บอร์ กับ แวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์ก ซึ่งอธิบายปรากฏการณ์ทางควอนตัมว่าเป็นเรื่องของความน่าจะเป็น ที่จะส่งผลต่อเพียงอันตรกิริยาในระบบแบบดั้งเดิม มีการโต้วาทีสาธารณะระหว่างไอน์สไตน์กับบอร์สืบต่อมาเป็นเวลายาวนานหลายปี (รวมถึงในระหว่างการประชุมซอลเวย์ด้วย) ไอน์สไตน์สร้างการทดลองในจินตนาการขึ้นเพื่อโต้แย้งการตีความโคเปนเฮเกน แต่ภายหลังก็ถูกบอร์พิสูจน์แย้งได้ ในจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งไอน์สไตน์เขียนถึง มักซ์ บอร์น ในปี พ.ศ. 2469 เขาบอกว่า "ผมเชื่อว่า พระเจ้าไม่ได้สร้างสรรพสิ่งด้วยการทอยเต๋า"
ไอน์สไตน์ไม่เคยพอใจกับสิ่งที่เขาได้รับรู้เกี่ยวกับการอธิบายถึงธรรมชาติที่ไม่สมบูรณ์ในทฤษฎีควอนตัม ในปี พ.ศ. 2478 เขาค้นคว้าเพิ่มเติมในประเด็นเหล่านี้ร่วมกับเพื่อนร่วมงานอีก 2 คน คือ บอริส โพโดลสกี และ นาธาน โรเซน และตั้งข้อสังเกตว่า ทฤษฎีดังกล่าวดูจะต้องอาศัยอันตรกิริยาแบบไม่แบ่งแยกถิ่น ต่อมาเรียกข้อโต้แย้งนี้ว่า EPR พาราด็อกซ์ (มาจากนามสกุลของไอน์สไตน์ โพโดลสกี และโรเซน) การทดลอง EPR ได้จัดทำขึ้นในเวลาต่อมา และได้ผลลัพธ์ที่ช่วยยืนยันการคาดการณ์ตามทฤษฎีควอนตัม
สิ่งที่ไอน์สไตน์ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของบอร์เกี่ยวพันกับแนวคิดพื้นฐานในการพรรณนาถึงวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุนี้การโต้วาทีระหว่างไอน์สไตน์กับบอร์จึงได้ส่งผลสืบเนื่องออกไปเป็นการวิวาทะในเชิงปรัชญาด้วย
รางวัลโนเบล
พ.ศ. 2465 ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2464 ในฐานะที่ "ได้อุทิศตนแก่ฟิสิกส์ทฤษฎี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบกฎที่อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก" ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงงานเขียนของเขาในปี 2448 "โดยใช้มุมมองจากจิตสำนึกเกี่ยวกับการเกิดและการแปรรูปของแสง" แนวคิดของเขาได้รับการพิสูจน์อย่างหนักแน่นจากผลการทดลองมากมายในยุคนั้น สุนทรพจน์ในการมอบรางวัลยังระบุไว้ว่า "ทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาเป็นหัวข้อถกเถียงที่น่าสนใจที่สุดในวงวิชาการ (และ) มีความหมายในทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์ซึ่งประยุกต์ใช้อย่างชัดเจนในปัจจุบัน"
เชื่อกันมานานว่าไอน์สไตน์มอบเงินรางวัลจากโนเบลทั้งหมดให้แก่ภรรยาคนแรก คือมิเลวา มาริค สำหรับการหย่าขาดจากกันในปี พ.ศ. 2462 แต่จดหมายส่วนตัวที่เพิ่งเปิดเผยขึ้นในปี พ.ศ. 2549 บ่งบอกว่าเขานำไปลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา และสูญเงินไปเกือบหมดจากเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่
ไอน์สไตน์เดินทางไปนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรก เมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2464 เมื่อมีผู้ถามว่า เขาได้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์มาจากไหน ไอน์สไตน์อธิบายว่า เขาเชื่อว่างานทางวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าได้จากการทดลองทางกายภาพและการค้นหาความจริงที่ซ่อนเอาไว้ โดยมีคำอธิบายที่สอดคล้องกันได้ในทุกสภาวการณ์โดยไม่ขัดแย้งกันเอง ไอน์สไตน์ยังสนับสนุนทฤษฎีที่ค้นหาผลลัพธ์ในจินตนาการด้วย
10.
                                                                                STEPHEN HAWKING
สตีเฟน ฮอว์คิง (อังกฤษ: Stephen Hawking; เกิดวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2485) เป็นศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ ประจำมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ไม่กี่คนในยุคปัจจุบันที่เข้าใจ และสามารถอธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ได้ ฮอว์คิงเป็นผู้แต่งหนังสือ ประวัติย่อของกาลเวลา (A Brief History of Time) และ จักรวาลในเปลือกนัท (The Universe in a Nutshell) ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังสือที่อธิบายเรื่องยากๆ อย่าง ควอนตัมฟิสิกส์ ให้คนทั่วไปอ่านได้



ประวัติ
สตีเฟน ฮอว์คิงเกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2485 ที่เมืองอ๊อกซฟอร์ดไชร์ ประเทศอังกฤษ ในวัยเด็กเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์แอลแบน จากนั้นเข้าศึกษาต่อสาขาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด และรับปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2505 ต่อมาได้เข้าศึกษาที่ทรินิตีคอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในสาขาจักรวาลวิทยา และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตเมื่อปี พ.ศ. 2509 หลังจากนั้นก็ได้รับการคัดเลือกเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด
ในต้นทศวรรษที่ 1960 (ประมาณ พ.ศ. 2503-2508) สตีเฟน ฮอว์คิงก็มีอาการที่เรียกว่า amyotrophic lateral sclerosis (ALS) อันเป็นอาการผิดปกติของระบบประสาทโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยมีผลกับประสาทสั่งการ (motor neurons) นั่นคือ เส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของ กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อส่วนนั้นจะอ่อนแอลงจนเกือบเป็นอัมพาต แต่เขายังคงทำงานวิชาการต่อไป
 การทำงาน
ฮอว์คิงเริ่มทำงานในสาขาสัมพัทธภาพทั่วไป และเน้นที่ฟิสิกส์ของหลุมดำ เมื่อปี พ.ศ. 2508 ขณะที่กำลังทำงานวิจัยเพื่อทำวิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต ฮอว์คิงได้อ่านรายงานของนักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ ชื่อ โรเจอร์ เพนโรส (Roger Penrose) ซึ่งเพนโรสเสนอทฤษฎีที่ว่าดวงดาวที่ระเบิดอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของตัวเอง จะมีปริมาตรเป็นศูนย์ และมีความหนาแน่นเป็นอนันต์ อันเป็นสภาพที่นักฟิสิกส์เรียกว่า ซิงกูลาริตี้(singularity) ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือหลุมดำ ซึ่งไม่ว่าแสงหรือวัตถุใดๆ ก็หนีออกมาไม่ได้
จากนั้น ในปี พ.ศ. 2513 ฮอว์คิงและเพนโรสก็ได้ร่วมกันเขียนรายงานสรุปว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ นั้นกำหนดให้เอกภพต้องเริ่มต้นในซิงกูลาริตี้ ซึ่งปัจจุบันนี้รู้จักกันว่า บิ๊กแบง และจะสิ้นสุดลงที่ หลุมดำ
ฮอว์คิงเสนอว่า หลุมดำไม่ควรจะเป็นหลุมดำเสียทีเดียว แต่ควรจะแผ่รังสีอะไรออกมาบ้าง โดยเริ่มที่วัตถุจำนวนมหาศาลนับพันล้านตัน แต่มีความหนาแน่นสูง คือกินเนื้อที่ขนาดเท่าโปรตอน เขาเรียกวัตถุเหล่านี้ว่าหลุมดำจิ๋ว (mini black hole) ซึ่งมีแรงโน้มถ่วงและมวลมหาศาล แต่สุดท้ายหลุมดำนี้ก็จะระเหิดหายไป การค้นพบนี้ถือเป็นงานชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งของฮอว์คิง
เมื่อ ปี พ.ศ. 2517 เขาได้เป็นสมาชิกที่มีอายุน้อยที่สุดของราชบัณฑิตยสถานของอังกฤษ และได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์สาขาฟิสิกส์แรงโน้มถ่วง ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในปี พ.ศ. 2520 และเมื่อในปี พ.ศ. 2522 ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น เมธีคณิตศาสตร์ลูเคเชียน” (Lucasian Chair of Mathematics - เป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2206 (ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) บุคคลที่ 2 ที่ได้รับตำแหน่งนี้ก็คือ เซอร์ไอแซก นิวตัน คนทั่วไปจึงเปรียบเทียบสตีเฟน ฮอว์คิง กับนิวตันและไอนสไตน์)
สตีเฟน ฮอว์คิงเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่นักฟิสิกส์จะพัฒนาทฤษฎีที่จะรวมเอาแรงทั้ง 4 ของธรรมชาติเข้าด้วยกัน นั่นคือ แรงโน้มถ่วง, แรงแม่เหล็กไฟฟ้า, แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน และแรงนิวเคลียร์แบบเข้ม อันจะนำไปสู่ ทฤษฎีสรรพสิ่ง (Theory of Everything) ที่เคยกล่าวกันมา ส่วนเรื่องการขยายตัวของเอกภพนั้น ฮอว์คิงเชื่อว่า เอกภพขยายตัวออกไปโดยมีความเร่งชีวิตส่วนตัว
          

                            Kripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha รัฐ Nebraska เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิตและแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง และเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา
                      Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semantics) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้เขาได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชา คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์ ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า "แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า" และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด
                      Kripke ได้รับรางวัล Schock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมี ชีวิตอยู่